วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
แบบฝึกหัด
1. ให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นระหว่างรูปดอกบัวกับรูปเพชร
2. ให้อิสระในการเลือกภาพว่าชอบภาพไหนเพราะอะไรให้เหตุผล
1.
ให้นักศึกษาแสดงความคิดเห็นระหว่างรูปดอกบัวกับรูปเพชร
Model รูปเพชรนี้รูปทรงอาจจะไม่สวยงาม แต่ภายในมีเนื้อหาที่ชัดเจน มีรายละเอียดของตัวอักษรต่างๆ
ว่าคืออะไร หมายถึงอะไร ที่บ่งบอกถึงความชัดเจนของข้อมูล ง่ายต่อผู้ที่ต้องการจะศึกษา
ไม่สับสนวุ่นวาย เพื่อหาความรู้ในข้อมูลดังกล่าว
และเป็นประโยชน์ต่อผู้ศึกษาเองรวมไปถึงผู้ต้องการค้นหาข้อมูลนี้
Model รูปดอกบัวนี้ ซึ่งมีความสวยงามแต่เนื้อหาภายในไม่ให้ความชัดเจน
ไม่มีรายละเอียดจะมีแค่ตัวอักษรเพียงช่องละตัวเท่านั้น ซึ่งตัวอักษรแต่ละตัวไม่ได้มีคำแค่คำเดียวแต่มีหลายคำหลายความหมาย
จึงยากต่อการที่จะเดาว่าตัวอักษรนี้คืออะไร
2.
ให้อิสระในการเลือกภาพว่าชอบภาพไหนเพราะอะไรให้เหตุผล
สำหรับดิฉันเลือกรูปนี้ก็เพราะว่า
เป็นคนที่ชอบความชัดเจน เปรียบเสมือนกับข้อมูลภายในรูปนี้ ซึ่งมีความชัดเจน
มีข้อมูลที่บ่งบอกถึงสิ่งต่างๆ ดูเข้าใจง่าย และไม่สับสนวุ่นวาย
วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562
ตรวจสอบและทบทวน
ในการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ขั้น
วิเคราะห์ภาระงาน ปฏิบัติการเขียนแผนจัดการเรียนรู้ด้วยการ ระบุงาน และภาระงาน
โดยใช้แนวทางการวิเคราะห์ภาระงานของหน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐานแล้วระบุเป็นชิ้นงานหรือภาระงานที่ผู้เรียนปฏิบัติ
การออกแบบภาระงานที่ผู้เรียนต้องใช้ความรู้และทักษะจากขั้นการกำหนดจุดมุ่งหมายการเรียนรู้
(setting
learning goals) ลักษณะสําคัญของงานคือ
ต้องกระตุ้นหรือสร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียน มีความท้าทาย
แต่ไม่ยากเกินไปจนผู้เรียนทําไม่ได้
และในขณะเดียวกันต้องครอบคุมสาระสําคัญทางวิชาและทักษะที่ลึกซึ้ง
เพื่อให้สามารถนําผลการประเมินไปใช้ได้อย่างสมเหตุสมผลและน่าเชื่อถือ
แผนจัดการเรียนรู้
กิจกรรมเสรี
(เวลา
40-60 นาที)
|
แผนการจัดประสบการณ์แบบบูรณาการ
สาระที่ควรเรียนรู้
ธรรมชาติรอบตัวเด็ก
หน่วย
ผักสดสะอาด
สัปดาห์ที่
24 วันที่ 22 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 25561
|
1. มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐานที่ 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี
ตัวบ่งชี้ที่ 3 รักษาความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น
มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดีงาม
ตัวบ่งชี้ที่ 2 มีความเมตตากรุณา มีน้ำใจและช่วยเหลือแบ่งปัน
มาตรฐานที่ 6 มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ตัวบ่งชี่ที่ 2 มีวินัยในตนเอง
2. สาระการเรียนรู้
2.1 สาระที่ควรเรียนรู้
1. การเล่นมุมประสบการณ์ต่างๆ
2.2 ประสบการณ์สำคัญ
1. การเล่นอิสระ
2.
การมีโอกาสได้รับรู้ความรู้สึก
ความสนใจ
และความต้องการของตนเองและผู้อื่น
3. การรู้จักแก้ไขปัญหาในการเล่นหรือทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับเพื่อน
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. เพื่อให้เด็กสามารถคิดแก้ปัญหาในการเล่นเป็นกลุ่มได้
2. เพื่อให้เด็กสามารถใช้ภาษาสุภาพช่วยเหลือแบ่งปันผู้อื่นและรู้จักอดทนรอได้
3. เพื่อให้เด็กรู้จักเก็บอุปกรณ์เข้าที่ให้เรียบร้อยได้
4. กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำ
4.1 เด็กๆและครูร่วมท่องคำคล้องจอง “ เก็บของเข้าที่”
โดยครูท่องคำคล้องจองให้เด็กๆฟังแล้วให้เด็กๆท่องตามจนคล่อง สนทนาเกี่ยวกับมุมเสรี เช่น
- คำคล้องจองที่ท่องไปมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรบ้างคะ
ขั้นสอน
4.2 เด็กๆและครูร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับกิจกรรมและสร้างข้อตกลง เช่น
- วันนี้ครูจะให้เด็กๆเล่นตามมุมเสริมประสบการณ์ต่างๆนะคะ มีมุมบ้าน มุมหนังสือ
มุมวิทยาศาสตร์
บล็อกและมุมเกมการศึกษา
4.3 เด็กและครูร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติกิจกรรม เช่น
- ให้เด็กๆเลือกเล่นมุมประสบการณ์ที่เด็กๆสนใจและต้องมีความเอื้อเฟื้อแบ่งกันเล่นนะคะ
- ในการเล่นในแต่ละมุมนั้นให้เด็กๆเล่นมุมละ 5- 7 คน นะคะ
- ถ้ามุมใดเกิน 5 -7 คน ให้ไปเล่นมุมอื่นที่ยังไม่ครบนะคะ
- เมื่อครูเคาะกลอง 3 ครั้ง ให้เด็กๆหยุดเล่นและเก็บของเข้าที่ให้เรียบร้อย
ครูเคาะกลอง 2 ครั้งให้เด็กๆมาเข้าแถวตามเดิมนะคะ
4.4 เด็กๆและครูร่วมกันปฏิบัติกิจกรรมตามข้อ 4.3
ขั้นสรุป
4.5 เด็กๆและครูร่วมกันสรุปกิจกรรมที่ปฏิบัติ
เช่น
- เด็กๆคะใครได้เล่นมุมอะไรบ้างคะและในแต่ละมุมมีวิธีการเล่นอย่างไรบ้างคะ
- เด็กๆมีวิธีการเล่นของเล่นอย่างไรบ้างคะ
5. สื่อและแหล่งการเรียนรู้
- มุมประสบการณ์ต่างๆ ได้แก่
มุมบ้าน มุมหนังสือ มุมวิทยาศาสตร์ บล็อกและมุมเกมการศึกษา
6. ประเมินพัฒนาการ
สังเกต
-
การเก็บของเล่นของใช้เข้าที่เมื่อมีผู้ชี้แนะ
ขั้นตอนวัตถุประสงค์ของมาร์ซาโน
โรเบิร์ต มาร์ซาโน นักวิจัยทางการศึกษาที่มีชื่อเสียง เสนอสิ่งที่เขาเรียกว่า วัตถุประสงค์ทางการศึกษาใหม่ (2000) โดยพัฒนาจากข้อจำกัดของวัตถุประสงค์ของบลูมและตามสภาพแวดล้อมของการสอนที่อิงมาตรฐาน (standard-based instruction)
รูปแบบทักษะการคิดของมาร์ซาโนผนวกปัจจัยที่กว้างขึ้นซึ่งส่งผลกระทบว่านักเรียนคิดอย่างไรและจัดเตรียมทฤษฏีที่อิงงานวิจัยมากขึ้นเพื่อช่วยครูปรับปรุงการคิดของนักเรียน
ขั้นตอนวัตถุประสงค์ของมาร์ซาโนนี้ทำขึ้นจากระบบสามประการและขอบเขตของความรู้
ระบบทั้งสามประกอบด้วย
1.ระบบตนเอง (self-system)
2.ระบบอภิปัญญา (metacognitive system)
3.ระบบความรู้ (cognitive system)
เมื่อเผชิญกับทางเลือกของการเริ่มต้นภาระงานใหม่ ระบบตนเองจะตัดสินใจว่าจะทำตามพฤติกรรม
เช่นปัจจุบัน หรือเข้าร่วมในกิจกรรมใหม่ ระบบอภิปัญญาจะกำหนดเป้าหมายและติดตามว่าจะทำได้ดีเพียงใด ส่วนระบบความรู้จะจัดทำกระบวนการให้ข้อมูลที่จำเป็น และขอบเขตความรู้จัดเตรียมเนื้อหาให้
ระบบความรู้
มาร์ซาโนแตกระบบความรู้ออกเป็นสี่องค์ประกอบ
1) การเรียกใช้ความรู้
การเรียกใช้ความรู้เกี่ยวข้องกับการทวนซ้ำข้อมูลจากความทรงจำถาวร นักเรียนเพียงแค่เรียกข้อเท็จจริง ลำดับเหตุการณ์ หรือกระบวนการตามที่เก็บไว้ได้อย่างถูกต้อง
2)ความเข้าใจ
ในระดับที่สูงขึ้น ความเข้าใจต้องระบุสิ่งที่สำคัญที่จะจำและวางข้อมูลนั้นไว้ในหมวดหมู่ที่เหมาะสม ดังนั้น ทักษะแรกของความเข้าใจต้องระบุองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของแนวคิดรวบยอดและตัดทิ้งส่วนที่ไม่สำคัญ
ในระดับที่สูงขึ้น ความเข้าใจต้องระบุสิ่งที่สำคัญที่จะจำและวางข้อมูลนั้นไว้ในหมวดหมู่ที่เหมาะสม ดังนั้น ทักษะแรกของความเข้าใจต้องระบุองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของแนวคิดรวบยอดและตัดทิ้งส่วนที่ไม่สำคัญ
ตัวอย่างเช่น การเรียนรู้ของนักเรียนเกี่ยวกับการเดินทางของเลวิสและคลาค(Lewis and Clark) ควรที่จะจำเส้นทางซึ่งนักสำรวจใช้ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับจำนวนอาวุธที่พวกเขานำติดตัวไป
3)การวิเคราะห์
การวิเคราะห์คือ การจับคู่ การแยกแยะหมวดหมู่ การวิเคราะห์ข้อผิดพลาด การกำหนดเป็นกฏเกณฑ์ทั่วไป การกำหนดเฉพาะเจาะจง ด้วยการเข้ามีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ผู้เรียนสามารถใช้สิ่งที่กำลังเรียนรู้เพื่อสร้าง องค์ความรู้ใหม่และคิดค้นวิธีการใช้สิ่งที่เรียนรู้ในสถานการณ์ใหม่
4)การนำความรู้ไปใช้
เป็นระดับสุดท้ายของกระบวนการความรู้สอดคล้องกับการใช้ความรู้ประกอบด้วย
เป็นระดับสุดท้ายของกระบวนการความรู้สอดคล้องกับการใช้ความรู้ประกอบด้วย
-การตัดสินใจ เป็นกระบวนการความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการชั่งน้ำหนักทางเลือกเพื่อกำหนดการกระทำที่เหมาะสมที่สุด
-การแก้ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ขัดขวางการไปสู่เป้าหมาย
-การสืบค้นจากการทดลองเกี่ยวข้องการตั้งสมมติฐานต่อปรากฎการณ์ทางจิตวิทยาและทางกายภาพ
-การสำรวจสืบค้น คล้ายคลึงกับการสืบค้นจากการทดลอง แต่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต ไม่เหมือนการสืบค้นจากการทดลองซึ่งมีกฎที่เฉพาะเจาะจงเพื่อเป็นหลักฐานที่อยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางสถิติ
ระบบอภิปัญญา
ระบบอภิปัญญา เป็น “การควบคุม” กระบวนการคิดและดูแลระบบอื่น ๆ ทั้งหมด ระบบนี้กำหนดเป้าหมายและทำการตัดสินใจว่าข้อมูลใดที่จำเป็น และกระบวนการความรู้ใดที่เหมาะที่สุดกับเป้าหมาย
ระบบอภิปัญญา เป็น “การควบคุม” กระบวนการคิดและดูแลระบบอื่น ๆ ทั้งหมด ระบบนี้กำหนดเป้าหมายและทำการตัดสินใจว่าข้อมูลใดที่จำเป็น และกระบวนการความรู้ใดที่เหมาะที่สุดกับเป้าหมาย
ระบบตนเอง
ระบบนี้ประกอบด้วยทัศนคติความเชื่อและอารมณ์ความรู้สึกซึ่งกำหนดแรงจูงใจของแต่ละบุคคลให้ทำภาระงานให้สำเร็จลุล่วง ปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจคือ ความสำคัญ ประสิทธิภาพและอารมณ์ความรู้สึกประกอบด้วย
1) ความสำคัญ
เมื่อนักเรียนเผชิญหน้ากับภาระงาน การตอบโต้ประการแรกคือตัดสินว่างานนั้นสำคัญต่อตนเองแค่ไหน ใช่สิ่งที่เธอต้องการเรียน หรือเชื่อว่าเธอจำเป็นต้องเรียนหรือไม่ การเรียนรู้จะช่วยให้เธอลุล่วงเป้าหมายที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ได้หรือไม่
2) ประสิทธิภาพ
ระบบนี้ประกอบด้วยทัศนคติความเชื่อและอารมณ์ความรู้สึกซึ่งกำหนดแรงจูงใจของแต่ละบุคคลให้ทำภาระงานให้สำเร็จลุล่วง ปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจคือ ความสำคัญ ประสิทธิภาพและอารมณ์ความรู้สึกประกอบด้วย
1) ความสำคัญ
เมื่อนักเรียนเผชิญหน้ากับภาระงาน การตอบโต้ประการแรกคือตัดสินว่างานนั้นสำคัญต่อตนเองแค่ไหน ใช่สิ่งที่เธอต้องการเรียน หรือเชื่อว่าเธอจำเป็นต้องเรียนหรือไม่ การเรียนรู้จะช่วยให้เธอลุล่วงเป้าหมายที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ได้หรือไม่
2) ประสิทธิภาพ
นักเรียนที่มีระดับประสิทธิภาพของตนเองสูงเมื่อเผชิญกับภาระงานที่ท้าทายจะปะทะด้วยความเชื่อว่าตนเองมีทรัพยากรที่จะประสบความสำเร็จ นักเรียนเหล่านี้จะทุ่มเทให้กับภาระงานอย่างเต็มที่ มุ่งมั่นในการทำงานและเอาชนะการท้าทายวิธีที่นักเรียนสามารถพัฒนาความรู้สึกของการมีประสิทธิภาพในตนเองไว้ วิธีที่ทรงพลังที่สุดคือผ่านทางประสบการณ์ที่เคยทำสำเร็จ ประสบการณ์ดังกล่าวต้องไม่ยากหรือง่ายจนเกินไป ความล้มเหลวที่เกิดซ้ำ ๆ จะทำให้การมีประสิทธิภาพในตนเองลดลง แต่ความสำเร็จจากภาระงานที่ง่ายเกินไปจะไม่พัฒนาสำนึกของการมุ่งมั่นที่จะเอาชนะอุปสรรค
3) อารมณ์ความรู้สึก
อารมณ์ความรู้สึกที่เกี่ยวพันกับประสบการณ์การเรียนรู้ ความรู้สึกเหล่านี้มีผลกระทบอย่างมากต่อแรงจูงใจ เช่นนักเรียนที่มีอารมณ์ความรู้สึกเป็นลบต่อการอ่านหนังสือทางเทคนิคสามารถตัดสินใจที่จะอ่านตำราทางเคมีเมื่อเขารู้สึกตื่นตัวอย่างยิ่งมากกว่าอ่านก่อนที่จะเข้านอน
การคิดวิเคราะห์ตามแนวของมาร์ซาโน
มาร์ซาโน (Marzano. 2001 : 30 – 60) ได้พัฒนารูปแบบจุดมุ่งหมายทางการศึกษารูปแบบใหม่ ประกอบด้วยความรู้สามประเภทและกระบวนการจัดกระทำข้อมูล6 ระดับดังนี้
มาร์ซาโน (Marzano. 2001 : 30 – 60) ได้พัฒนารูปแบบจุดมุ่งหมายทางการศึกษารูปแบบใหม่ ประกอบด้วยความรู้สามประเภทและกระบวนการจัดกระทำข้อมูล6 ระดับดังนี้
ประเภทของความรู้
1. ข้อมูล เน้นการจัดระบบความคิดเห็นจากข้อมูลง่ายสู่ข้อมูลยากเป็นระดับความคิด รวบยอด ข้อเท็จจริงลำดับเหตุการณ์ สมเหตุและผลเฉพาะเรื่องและหลักการ
2. กระบวนการ เน้นกระบวนการเพื่อการเรียนรู้จากทักษะสู่กระบวนการอัตโนมัติอันเป็น ส่วนหนึ่งของความสามารถที่สั่งสมไว้
3. ทักษะ เน้นการเรียนรู้ที่ใช้ระบบโครงสร้างกล้ามเนื้อจากทักษะง่ายสู่กระบวนการที่ซับซ้อนขึ้นกระบวนการจัดกระทำกับข้อมูลมี 6ระดับดังนี้
ระดับที่ 1 ขั้นรวบรวม เป็นการคิดทบทวนความรู้เดิมรับข้อมูลใหม่และเก็บเป็นคลังข้อมูลไว้เป็นการถ่ายโยงความรู้จากความจำถาวรสู่ความจำนำไปใช้ปฏิบัติการโดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจโครงสร้างของความรู้นั้น
ระดับที่ 2 ขั้นเข้าใจ เป็นการเข้าใจสาระที่เรียนรู้สู่การเรียนรู้ใหม่ในรูปแบบการใช้สัญลักษณ์ เป็นการสังเคราะห์โครงสร้างพื้นฐานของความรู้นั้นโดยเข้าใจประเด็นสำคัญ
ระดับที่3 ขั้นวิเคราะห์ เป็นการจำแนกความเหมือนและความแตกต่างอย่างมีหลักการ การจัดหมวดหมู่ที่สัมพันธ์กับความรู้การสรุปอย่างสมเหตุสมผลโดยสามารถบ่งชี้ข้อผิดพลาดได้การประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่โดยใช้ฐานความรู้และการคาดการณ์ผลที่ตามมาบนพื้นฐานของข้อมูล
ระดับที่4 ขั้นใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ เป็นการตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่มีคำตอบชัดเจน การแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยาก การอธิบายปรากฏการณ์ที่แตกต่าง และการพิจารณาหลักฐานสู่การสรุป สถานการณ์ที่มีความซับซ้อน การตั้งข้อสมมุติฐานและการทดลองสมมุติฐานนั้นบนพื้นฐานของความรู้
ระดับที่5 ขั้นบูรณาการความรู้ เป็นการจัดระบบความคิดเพื่อบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ที่กำหนด การกำ กับติดตามการเรียนรู้และการจัดขอบเขตการเรียนรู้
ระดับที่ 6 ขั้นจัดระบบแห่งตน เป็นการสร้างระดับแรงจูงใจต่อภาวะการณ์เรียนรู้และภาระ งานที่ได้รับมอบหมายในการเรียนรู้รวมทั้งความตระหนักในความสามารถของการเรียนรู้ที่ตนมี ขั้นการคิดวิเคราะห์ของมาร์ซาโน (Marzano. 2001 :อ้างอิงจาก ประพันธศิริ สุเสารัจ. 58)
จำแนกเป็น
1. ทักษะการจำแนก เป็นความสามารถในการแยกแยะส่วนย่อยต่างๆ ทั้งเหตุการณ์ เรื่องราวสิ่งของออกเป็นส่วน
ย่อย ๆ ให้เข้าใจง่ายอย่างมีหลักเกณฑ์สามารถบอกรายละเอียดของสิ่งต่างๆได้
1. ทักษะการจำแนก เป็นความสามารถในการแยกแยะส่วนย่อยต่างๆ ทั้งเหตุการณ์ เรื่องราวสิ่งของออกเป็นส่วน
ย่อย ๆ ให้เข้าใจง่ายอย่างมีหลักเกณฑ์สามารถบอกรายละเอียดของสิ่งต่างๆได้
2. ทักษะการจัดหมวดหมู่ เป็นความสามารถในการจัดประเภท จัดลำดับ จัดกลุ่มของสิ่งที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันเข้าด้วยกัน โดยยึดโครงสร้างลักษณะหรือคุณสมบัติที่เป็นประเภทเดียวกัน
3. ทักษะการเชื่อมโยง เป็นความสามารถในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูลต่างๆ ว่าสัมพันธ์กันอย่างไร
4. ทักษะการสรุปความ เป็นความสามารถในการจับประเด็นและสรุปผลจากสิ่งที่กำหนดให้
5. การประยุกต์เป็นความสามารถในการนำความรู้หลักการและทฤษฎีมาใช้ใน สถานการณ์ต่าง ๆ สามารถคาดการณ์ กะประมาณ พยากรณ์ ขยายความ คาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
การคิดวิเคราะห์ตามแนวคิดของบลูมและมาร์ซาโน มีความคล้ายคลึงกัน ดังนี้
บลูม มาร์ซาโน
1. วิเคราะห์ความสำคัญ 1. การจำแนก
2. การจัดหมวดหมู่ 2. วิเคราะห์ความสัมพันธ์
3. การเชื่อมโยง 3. วิเคราะห์หลักการ
4. การสรุปความ
5. การประยุกต์
ที่มา: Marzano.2001 :อ้างอิงจาก ประพันธศิริ สุเสารัจ 58.
www.mathayom9.go.th
www.mathayom9.go.th
การจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน
การจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน (TASK-BASED LEARNING)
การแลกเปลี่ยนข้อมูล
กิจกรรมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น กิจกรรมการนำเสนอข้อมูลใหม่ ดังนี้1. ความหมายของภาระงาน
นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวถึงความหมายของภาระงานไว้ดังนี้
วิลลิซ และ วิลลิซ (Willis and Willis.
1996 : 53 - 54) ได้กล่าวถึงความหมายของภาระงานไว้ว่า
ภาระงานคือกิจกรรมที่มีเป้าหมายมุ่งเน้นให้ผู้เรียนใช้ภาษาเพื่อบรรลุผลที่แท้จริง
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าผู้เรียนจะใช้ทรัพยากรของภาษาเป้าหมายอะไรก็ตามที่พวกเขามีอยู่เพื่อที่จะใช้แก้ปัญหา
ไขปริศนา เล่นเกม หรือแบ่งปันและเปรียบเทียบประสบการณ์
ภาระงานมีจุดเริ่มต้นที่หลากหลาย โดยอาจจะมาจากข้อมูลที่ผู้เรียนมี อย่างเช่น
ประสบการณ์ส่วนตัว ความรู้ทั่วไป ภาระงานอาจจะมาจากงานเขียน บันทึกข้อมูลเสียง
หรือบันทึกข้อมูลภาพ และอาจจะเป็นกิจกรรมอย่างเช่น เกมต่างๆ การสาธิต
หรือการสัมภาษณ์
แบรนเดน
(Branden. 2006 : 4) ได้กล่าวถึงความหมายของภาระงานไว้ว่า ภาระงาน
คือกิจกรรมที่มีคนมีส่วนร่วมเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายซึ่งต้องมีการใช้ภาษา
การใช้ภาษาในที่นี้คือการบรรลุเป้าหมายโดยการเข้าใจภาษาที่ป้อนและการสร้างผลผลิตทางภาษา
ตัวอย่างเช่น การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสถานการณ์จริงผ่านการใช้ภาษา
ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้มากขึ้น
2. ความสำคัญของภาระงาน
ไบเกต
(Bygate. 2001 : 23) กล่าวถึงความสำคัญของภาระงานไว้ว่า
การใช้ภาระงานเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาทักษะภาษาเป้าหมายของผู้เรียน
ในประเภทของภาระงานที่แตกต่างกันออกไปช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนและพัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาเป้าหมายสื่อสารได้อย่างมีความหมาย
3. ประเภทของภาระงาน
พราบู (Prabhu. 1987 : 46 – 47) แบ่งประเภทของกิจกรรมที่เป็นภาระงานออกเป็น
3 ประเภท
ซึ่งประเภทของภาระงานนี้อยู่ในช่วงเริ่มแรกของการนำภาระงานมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน
ได้แก่ กิจกรรม
1. กิจกรรมการแลกเปลี่ยนข้อมูล (information
- gap task) เป็นกิจกรรมที่ก่อให้ผู้เรียนเกิดการส่งผ่านข้อมูลจากคนหนึ่งไปถึงอีกคน
ในการทำกิจกรรมผู้เรียนจะต้องได้ใช้ภาษาสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลของตนกับสมาชิกในกลุ่มหรือภายในห้องเรียน
เช่น การกำหนดตารางที่มีรายละเอียดยังไม่สมบูรณ์ และ
มีข้อมูลที่สัมพันธ์กันกับตารางนั้นๆแจกให้ผู้เรียนเป็นข้อความที่แตกต่างกัน
ซึ่งในการทำกิจกรรมนี้ผู้เรียนจะต้องได้การใช้ภาษาสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อความที่ตนมีกับผู้อื่น
โดยที่ผู้เรียนจะต้องหาข้อความของสมาชิกคนอื่นที่มีความสัมพันธ์กับข้อความที่ตนได้รับเพื่อนำไปเติมลงในตารางให้สมบูรณ์
2. กิจกรรมการนำเสนอข้อมูลใหม่ (reasoning
- gap task) เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้นำเสนอข้อมูลใหม่จากข้อมูลที่ได้รับโดยผ่านการคิดจากการวิเคราะห์
การอนุมาน การวินิจฉัย การให้เหตุผล หรือตามความคิดเห็นส่วนตัว เช่น
ผู้สอนให้ผู้เรียนจัดตารางเรียนใหม่ โดยทำการระบุเวลาและรายวิชา
และให้เหตุผลในการจัดตารางได้อย่างเหมาะสม
3. กิจกรรมการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น (opinion-gap
task) เป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนจะต้องได้แสดงความรู้สึก
ความคิดเห็นหรือทัศนคติต่อเรื่องราวหรือสถานการณ์ที่ผู้สอนกำหนดให้ เช่น
การร่วมกันอภิปรายในหัวข้อเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในสังคม และร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น
นูแนน (Nunan. 2004 : 1) ได้กำหนดรูปแบบของภาระงานไว้
2 ประเภท คือ ภาระงานเพื่อการเรียนการสอน (pedagogical
task) ซึ่งเป็นภาระงานในชั้นเรียน และภาระงานจริง (real-
world task) ซึ่งเป็นภาระงานที่เน้นการฝึกใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน
มีรายละเอียดดังนี้
1. ภาระงานเพื่อการเรียนการสอน (pedagogical
task)
นูแนน (Nunan. 2004 :
20 - 21) กล่าวถึงความหมายของภาระงานเพื่อการเรียนการสอนไว้ว่า
ภาระงานเพื่อการเรียนการสอนช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนภาษาจากการทำกิจกรรมผ่านการทำภาระงานในห้องเรียน
โดยแบ่งประเภทของภาระงานเพื่อการเรียนการสอนไว้ 2 ประเภท
ดังนี้
1.1 ภาระงานเพื่อการฝึกฝน (rehearsal rational) เป็นภาระงานที่ผู้เรียนจะได้ฝึกใช้ภาษาอย่างมีเป้าหมาย
และฝึกใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เช่น การเขียนประวัติของตัวเองเพื่อใช้ในการสมัครงาน
(resume) ผู้เรียนจะได้ฝึกใช้ภาษาอย่างถูกต้อง
และสื่อสารได้อย่างมีความหมาย
โดยการทำภาระงานนี้จะช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกและพัฒนาทักษะทางภาษาของตนเองได้ดียิ่งขึ้นผ่านการทำกิจกรรมแบบจับคู่และได้รับคำแนะนำจากผู้สอน
1.2 ภาระงานเพื่อการกระตุ้น (activation
rationale) เช่น การจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนทำภาระงานกลุ่มๆ ละ 3 คน โดยกำหนดสถานการณ์ให้ ผู้เรียนอยู่บนเรือที่กำลังจะจม
และผู้เรียนต้องว่ายน้ำไปที่เกาะถึงจะรอดจากการจมน้ำ
โดยมีเงื่อนไขว่าผู้เรียนมีภาชนะกันน้ำ 1
อย่างที่สามารถบรรจุของได้ 20 กิโล
ให้ผู้เรียนตัดสินใจเลือกสิ่งของที่จะนำไปด้วย
โดยมีรายการต่างๆตามที่ผู้สอนได้กำหนดไว้
การทำภาระงานนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนได้รับการกระตุ้นจากสถานการณ์ที่ได้รับเพื่อให้เกิดการใช้ภาษาและโครงสร้าง
ทั้งการพูดแสดงความคิดเห็น การพูดเพื่อตัดสินใจ การให้คำแนะนำ การพูดถึงปริมาณ
เป็นต้น
ริชาร์ด (Richards.
2001 : 162) ได้นำเสนอรูปแบบของการจัดภาระงานเพื่อการเรียนการสอน (pedagogical
task) ที่แตกต่างกันไว้อีก 5 ประเภท ดังนี้
1. ภาระงานประเภทจิ๊กซอว์ (jigsaw
task) เป็นกิจกรรมภาระงานที่ให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมร่วมกับผู้เรียนคนอื่นๆเพื่อเรียบเรียงเรื่องราวให้สัมพันธ์กัน
เช่น ผู้เรียนได้รับเนื้อหาเกี่ยวกับนิทานที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม
ผู้เรียนจะต้องทำการเล่าเรื่องร่วมกันกับกลุ่มอื่นๆโดยลำดับเหตุการณ์ตามท้องเรื่องได้อย่างถูกต้อง
2. ภาระงานแลกเปลี่ยนข้อมูล (information
- gap task) เป็นกิจกรรมภาระงานที่ให้ผู้เรียนได้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างบุคคลหรือกลุ่ม
โดยที่จะได้รับชุดข้อมูลที่แตกต่างกัน
ผู้เรียนจะต้องทำการสื่อสารเพื่อขอและให้ข้อมูลเพื่อให้ภาระงานนั้นแล้วเสร็จ
3. ภาระงานแก้ปัญหา (problem
solving task) เป็นกิจกรรมภาระงานที่ให้ผู้เรียนได้คิดหาแนวทางแก้ปัญหาตามสถานการณ์ที่กำหนดตามชุดของข้อมูลที่กำหนดให้
4. ภาระงานเพื่อการตัดสินใจ (decision
- making task) เป็นกิจกรรมภาระงานที่ให้ผู้เรียนได้ใช้เหตุผลในการตัดสินใจต่อเรื่องหรือปัญหาที่ผู้สอนกำหนด
โดยผู้เรียนต้องอธิบายเหตุผลที่เลือกตัดสินใจสิ่งนั้น
5. ภาระงานแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
(opinion exchange tasks) เป็นกิจกรรมภาระงานที่ให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการอภิปรายและแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนกัน
โดยไม่จำเป็นต้องมีความเห็นที่ตรงกันกับบุคคลอื่น
2. ภาระงานจริง (real-world task)
นูแนน (Nunan. 2004 :
19 - 20) กล่าวถึงความสำคัญของภาระงานจริงไว้ว่า
ภาระงานจริงคือสิ่งที่เราทำเป็นประจำในทุกๆวัน เป็นการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน
ทั้งการเขียนบทกลอนจนรวมไปถึงการจองตั๋วเครื่องบิน
ภาระงานจริงมุ่งเน้นไปยังการแลกเปลี่ยนข้อมูลผ่านการสื่อสารระหว่างบุคคล
โดยในทั่วไปนั้นมีระดับการใช้ภาษาอยู่ 3 ประเภท ดังนี้
2.1
การใช้ภาษาเพื่อการค้าและบริการ (goods and services)
2.2 การใช้ภาษาเพื่อปฎิสัมพันธ์ในสังคม (social
macrofunction)
2.3
การใช้ภาษาเพื่อความเพลิดเพลิน (aesthetic macrofunction)
ตัวอย่างการจัดกิจกรรมของภาระงานจริงตามรูปแบบของนูแนน เช่น
บทสนทนาในชีวิตจริง
As in the following (invented) example:
A: Nice day.
B: That it is. What can I do for you?
A: I’d like a round-trip ticket to the
airport, please. เป็นต้น
วิลลิซ (Willis.
2011 : 136 - 141) กล่าวถึงความหมายของภาระงานจริงไว้ว่า
ภาระงานจริงเป็นการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงานที่สะท้อนให้เห็นถึงการใช้ภาษาจริงในสังคม
ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับความหมาย คือ
ขั้นที่ผู้เรียนสร้างความหมายเพื่อการสื่อสารได้จริง ระดับสื่อสาร คือ
ขั้นที่ผู้เรียนเข้าใจถึงพฤติกรรมการสื่อสารในสถานการณ์จริง เช่น การเดาความหมาย
การแสดงความคิดว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ระดับกิจกรรม คือ
ขั้นที่ผู้เรียนใช้ภาษาสื่อสารเพื่อทำกิจกรรมได้เสมือนกับสถานการณ์จริงนอกห้องเรียน
เช่น การเล่าเรื่อง การอธิบายถึงวิธีการประดิษฐ์สิ่งของ เป็นต้น
วิลลิซยังได้กล่าวถึงภาระงานที่เกี่ยวโยงกันกับการใช้ภาษาในสถานการณ์จริง
ดังนี้
1. ภาษาเพื่อจุดประสงค์เฉพาะทาง
(English for specific purposes) ในการจัดการเรียนรู้แบบภาษาเพื่อจุดประสงค์เฉพาะทาง
ผู้สอนจะต้องสะท้อนให้ผู้เรียนได้เกิดการใช้ภาษาได้เสมือนในสถานการณ์จริง เช่น
ภาษาเพื่อจุดประสงค์ทางวิชาการ และภาษาเพื่อการประกอบอาชีพ ดังตัวอย่างภาระงานภาษาเพื่อจุดประสงค์เฉพาะทางตามรูปแบบของวิลลิซ
คือ
ภาระงานการทำนาย (prediction task) เช่น การให้อ่านบทความเชิงวิชาการ
เพื่อให้เกิดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาเฉพาะทาง
โดยอาจมีการกำหนดขั้นตอนการทำกิจกรรมเริ่มจากจับกลุ่มสามคน อ่านบทความหรืองานวิจัย
จดบันทึกคำถามที่สำคัญที่อาจมีคำตอบอยู่ในบทความ
จากนั้นผู้สอนจึงถามผู้เรียนทายคำตอบสิ่งที่กลุ่มตนเองได้ตั้งคำถามไว้
2. ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน
(everyday English) ในการจัดการเรียนรู้แบบภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน
มักเป็นรูปแบบของการให้ภาระงานที่เชื่อมโยงกับสถานการณ์จริง เช่น การพูดสนทนา
การอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ การร่วมกันสรุปและอภิปรายในหัวข้อต่างๆ
ร่วมกันในห้องเรียนโดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาสื่อสารได้มากที่สุด
นอกจากนี้นูแนน (Nunan. 2004 :
59 - 61) ได้แบ่งเกณฑ์การจัดการเรียนรู้โดยใช้ภาระงานและกล่าวถึงการจัดกิจกรรมโดยใช้ภาระงานไว้ว่า
การใช้ภาระงานแต่ละประเภทในการจัดกิจกรรมจะต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและเป้าหมายในการสื่อสารที่ผู้สอนต้องการฝึกฝนผู้เรียน
ซึ่งการจัดกิจกรรมได้อย่างตรงตามความต้องการของผู้เรียนจะช่วยให้การฝึกภาษาเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยได้จำแนกเกณฑ์ภาระงานให้ผู้สอนออกเป็น 5 ประเภท คือ
องค์ความรู้ (cognitive) ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (interpersonal)
ภาษาศาสตร์ (linguistic) ความรู้สึกและอารมณ์
(affective) และ ความสร้างสรรค์ (creative) โดยรายละเอียดและรูปแบบในการจัดกิจกรรมมีดังต่อไปนี้
1. แบ่งโดยใช้องค์ความรู้ (cognitive)
โดยภาระงานที่แบ่งโดยใช้องค์ความรู้มีแนวทางการจัดกิจกรรมอยู่ 8 ประเภท ดังนี้
1.1 การจัดหมวดหมู่ (classifying)
เป็นกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนได้จัดกลุ่มหรือสิ่งที่มีความคล้ายกันให้อยู่ในกลุ่ม
เช่น การศึกษาและจัดกลุ่มรายชื่อระหว่างหญิง-ชาย ได้อย่างถูกต้อง
1.2 การทำนาย (predicting)
เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ทำนายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้
เช่น ดูชื่อหน่วยการเรียนรู้และวัตถุประสงค์และทายว่ากำลังจะได้เรียนเรื่องอะไร
เกี่ยวกับอะไร เป็นต้น
1.3 การกระตุ้น (inducing)
เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้รับการกระตุ้นให้เกิดการใช้โครงสร้างทางภาษา
เช่น การศึกษาบทสนทนาและค้นพบได้ว่าบทสนทนานั้นมีลักษณะโครงสร้างในรูปแบบของ simple
past tense
1.4 การจดบันทึก (taking
notes) เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนจดบันทึกสิ่งที่เรียนลงในสมุดโดยใช้ภาษาเป็นคำพูดของตัวเอง
1.5 การทำแผนผังความคิด (concept
mapping) เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนเขียนแสดงใจความสำคัญของเนื้อหาที่เรียนในรูปแบบของแผนผังความคิด
1.6 การสรุปความ (inferencing)
เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนสรุปถึงสิ่งที่รู้ก่อนแล้วเพื่อที่จะเชื่อมโยงไปยังสิ่งที่จะเรียนรู้ใหม่
1.7 การจำแนกแยกแยะ (discriminating)
เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้จำแนกระหว่างสิ่งที่เป็นใจความสำคัญและสิ่งที่เป็นข้อมูลสนับสนุนได้
1.8 การสร้างผังไดอะแกรม (diagramming)
เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนนำเนื้อหาที่เรียนมาสรุปลงในผังไดอะแกรม
2. แบ่งตามรูปแบบความสัมพันธ์ (interpersonal)
โดยภาระงานที่แบ่งตามความสัมพันธ์มีแนวทางการจัดกิจกรรมอยู่ 2 ประเภท ดังนี้
2.1 การทำงานร่วมกัน (co-operating)
เป็นการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ทำภาระงานร่วมกัน เช่น
อ่านและสรุปใจความสำคัญร่วมกันกับสมาชิกภายในกลุ่ม
2.2 การแสดงบทบาทสมมติ (role
playing) เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้แสดงบทบาทสมมติและใช้ภาษาในการแสดงอย่างเหมาะสมตามบทบาทของตน
เช่น กำหนดให้ผู้เรียนเป็นผู้สื่อข่าว
นำข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์มาพูดแสดงตามบทบาทได้อย่างเหมาะสม
3. แบ่งตามลักษณะทางภาษาศาสตร์
(linguistic) โดยภาระงานที่แบ่งลักษณะทางภาษาศาสตร์มีแนวทางการจัดกิจกรรมอยู่
6 ประเภท ดังนี้
3.1 รูปแบบการสนทนา (conversational
patterns) เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ใช้คำที่แสดงออกถึงความรู้สึกในลักษณะต่างๆเพื่อการสนทนา
เช่น การจับคู่คำที่แสดงความรู้สึกได้ตรงตามสถานการณ์ที่กำหนดให้
3.2 การฝึก (practising) เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนภาษาเพื่อให้เกิดการพัฒนาทักษะทางภาษา
เช่น ฟังบทสนทนาและจับคู่ฝึกพูดตามบทสนทนา
3.3 การเลือกใช้คำตรงตามบริบท (using
context) เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกใช้คำ วลี หรือความหมาย
ได้ตรงตามบริบทที่กำหนดให้
3.4 การสรุป (summarizing)
เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนเลือกและนำเสนอในส่วนที่เป็นใจความสำคัญในเนื้อหาที่เรียน
นำเสนอในรูปแบบของการสรุปความ
3.5 การฟังอย่างมีจุดมุ่งหมาย (selective
listening) เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ฟังข้อมูลเพื่อหาใจความสำคัญโดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าใจความหมายในทุกประโยค
เช่น การฟังบทสนทนาและระบุได้ว่ามีผู้พูดทั้งหมดกี่คน
3.6 การอ่านเพื่อหาส่วนสำคัญ (skimming)
เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้อ่านเพื่อหาส่วนสำคัญของเนื้อหานั้นๆได้อย่างรวดเร็ว
เช่น อ่านและตัดสินใจทันทีว่าเนื้อหาที่อ่านเป็นบทความ หนังสือพิมพ์ หรือ
ข้อความโฆษณา เป็นต้น
4. แบ่งโดยความรู้สึกและอารมณ์
(affective) โดยภาระงานที่แบ่งตามความรู้สึกและอารมณ์มีแนวทางการจัดกิจกรรมอยู่
3 ประเภท ดังนี้
4.1
การแบ่งปันความคิดเห็นส่วนตัว (personalizing) เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้พูดแบ่งปันความคิดเห็นส่วนตัว
ความรู้สึกต่อแต่ละสถานการณ์ เช่น จับคู่อ่านจดหมายและผลัดกันให้คำปรึกษา
4.2 การประเมินตนเอง (self
- evaluating) เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ประเมินผลงานของตนเองพร้อมทั้งให้คะแนนการประเมินด้วยตนเอง
4.3 การสะท้อนตนเอง (reflecting)
เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้สะท้อนตนเองว่าตนเหมาะกับการเรียนในรูปแบบใดมากที่สุด
5. แบ่งตามความคิดสร้างสรรค์
(creative) โดยภาระงานที่แบ่งตามความคิดสร้างสรรค์มีแนวทางการจัดกิจกรรมคือ
การระดมความคิด (brainstorming)
เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้ทำงานเป็นกลุ่มและร่วมกันระดมความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่
เช่น สมาชิกในกลุ่มร่วมกันระดมความคิดเพื่อหาอาชีพให้ได้มากที่สุด
วิลลิซ (Willis. 2011 :
66 - 105) ยังได้แบ่งประเภทภาระงานในการจัดกิจกรรมออกเป็น 6 ประเภท ดังนี้
1. ภาระงานทำรายการ (listing task)
การจัดรายการถือเป็นภาระงานที่ออกแบบได้ง่ายที่สุด
และอาจดูเหมือนกับว่าเป็นภาระงานที่ง่ายที่สุดในการทำกิจกรรม
แท้จริงแล้วภาระงานประเภทนี้มีความยากต่อผู้สอนในการกำหนดหัวข้อให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรม
ในการทำภาระงานการจำแนกผู้เรียนสามารถเขียนจำแนกได้ทั้งที่เป็นคำศัพท์ วลีสั้นๆ
หรือแม้แต่ประโยคยาวๆ ซึ่งมีกระบวนการในการทำกิจกรรมดังนี้
1.1 การระดมสมอง (brainstorming)
การระดมสมองมีส่วนช่วยในผู้เรียนที่ขาดความมั่นใจในการใช้ภาษาได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สามารถจัดให้มีการทำกิจกรรมร่วมกันทั้งห้อง แบบจับคู่ และแบบกลุ่มเล็กๆ
โดยร่วมกันระดมความคิดตามหัวข้อและเวลาที่ผู้สอนกำหนด
จากนั้นจึงนำเสนอด้วยการพูดหน้าชั้นเรียน
ตัวอย่างหัวข้อที่ใช้ในการระดมสมอง
- Things that cats tend to do/like doing
- Strategies for learning English outside
class. เป็นต้น
1.2 การหาข้อเท็จจริง (fact
- finding)
การหาข้อเท็จจริงเป็นการที่ให้ผู้เรียนได้สืบค้นถึงข้อมูลที่เป็นจริงผ่านช่องทางในการเรียนรู้ที่หลากหลาย
เช่น เว็บไซต์ การสอบถาม หรือการอ่านในหนังสือ โดยผู้สอนจะกำหนดหัวข้อให้ผู้เรียนได้ทำการค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อนำเสนอ
ซึ่งผู้สอนอาจใช้กิจกรรมการหาข้อเท็จจริงเป็นการบ้านให้ผู้เรียนได้ไปสืบค้นเองได้
ตัวอย่างหัวข้อที่ใช้ในการหาข้อเท็จจริง
Find out what three people outside this class
think about cats and pets. Do they like cats or not? List the reasons they
give. Prepare to report their views in English in your next lesson.
2. ภาระงานจัดลำดับและหมวดหมู่ (ordering
and sorting task)
การจัดลำดับและหมวดหมู่มีความซับซ้อนมากขึ้น
อีกทั้งในการทำกิจกรรมยังขึ้นอยู่กับข้อความคิดเห็นส่วนบุคคลในการทำภาระงานประเภทนี้
มีกระบวนการดังนี้
2.1 การเรียงลำดับ (sequencing)
การเรียงลำดับมักให้ผู้เรียนได้ลำดับเหตุการณ์ก่อน-หลังตามข้อมูลที่ผู้สอนกำหนดให้ถูกต้อง
เช่น การเรียงรูปภาพเหตุการณ์ให้ถูกต้องตามลำดับ
โดยเรียงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนไปสู้เหตุการณ์ที่เกิดท้ายสุด
นอกจากนี้ผู้สอนอาจจัดกิจกรรมโดยการใช้สื่อประเภทวิดีโอเปิดให้ผู้เรียนดูแล้วจดจำภายในครั้งเดียว
จากนั้นจึงให้ผู้เรียนลำดับเหตุการณ์ถึงสิ่งที่ได้เห็นอย่างถูกต้องตามลำดับ
2.2 การจัดอันดับ (rank ordering)
การจัดอันดับมักให้ผู้เรียนได้ทำการจัดอันดับเองตามความคิดเห็นส่วนตัว
โดยมากการกำหนดหัวข้อให้จัดอันดับจะเป็นเรื่องใกล้ตัว เช่น
การห้าจัดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวที่อยากไปมากที่สุด
พร้อมกับจับคู่แบ่งปันข้อมูลกัน หรือ พูดแบ่งปันกับทั้งห้องเรียน
2.3 การจัดหมวดหมู่ (classifying)
การจัดหมวดหมู่สามารถทำได้ทั้งการจัดหมวดหมู่ด้วยตัวผู้เรียนเองตามข้อมูลที่ผู้สอนกำหนดให้
และจัดหมวดหมู่ตามประเภทที่กำหนดไว้แล้ว เช่น
การจัดคำศัพท์ที่อยู่ในหมวดหมู่เดียวกันลงในตารางที่ผู้สอนกำหนดให้
3. ภาระงานเปรียบเทียบ (comparing task)
ในการจัดกิจกรรมภาระงานเปรียบเทียบ
ผู้เรียนมักจะจับกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยน เปรียบเทียบกันในกลุ่มเล็กๆ 3-4 คน เกี่ยวกับเรื่องต่างๆใกล้ตัว เช่น
ตารางชีวิตประจำวัน เพื่อเปรียบเทียบดูว่าใครเป็นผู้ที่ตื่นเช้าที่สุด เป็นต้น
ทั้งนี้ผู้สอนสามารถกำหนดหัวข้อที่ยากขึ้นตามระดับความสามารถผู้เรียนได้ เช่น
หัวข้อเกี่ยวกับภาษาและวัฒนธรรม เป็นต้น
โดยมีกระบวนการที่สัมพันธ์กับการทำภาระงานเปรียบเทียบดังนี้
3.1 การจับคู่ (matching)
เป็นขั้นทำกิจกรรมที่เหมาะกับผู้เรียนในทุกช่วงชั้น
โดยเป็นการจับคู่สองสิ่งที่สัมพันธ์กัน
อีกทั้งการจับคู่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้ทางภาษาและเตรียมพร้อมที่จะใช้ภาษาในการพูดได้มากขึ้น
3.2
การหาความเหมือนและความแตกต่าง (finding similarities and finding differences)
ตัวอย่างกิจกรรม เช่น things in common จับคู่และบอกสิ่งที่ทำเป็นกิจวัตรในช่วงวันหยุด
ผลัดกันพูดกับคู่ของตนเอง
โดยพยายามหาสิ่งที่เหมือนกันให้ได้มากที่สุดภายในเวลาสามนาที
4. ภาระงานแก้ปัญหา (problem solving task)
การทำกิจกรรมภาระงานแก้ปัญหามุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้นำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาตามที่กำหนด
เช่น สภาวะปัญหาโลกร้อน
พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้อภิปรายร่วมกันและนำเสนอแนวทางการแก้ไขที่เหมาะสมที่สุด
โดยผู้เรียนอาจทำการจดบันทึก (note-taking) การร่างแนวทางการแก้ไขปัญหา (drafting) ก่อนนำเสนอหน้าชั้นเรียน
5. ภาระงานโครงงาน
(project and creative task)
กิจกรรมภาระงานโครงงานมักมีรูปแบบโดยการทำกิจกรรมแบบจับคู่และแบบกลุ่ม
โดยในการทำกิจกรรมผู้เรียนจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินงานของกลุ่มตนเอง
โดยสามารถเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนได้และระยะเวลาในการทำโครงงานจะยาวนานกว่าการทำภาระงานประเภทอื่น
เช่น การทำโครงงานเกี่ยวกับแผ่นพับหรือโปสเตอร์โฆษณาการท่องเที่ยว
ผู้เรียนจะต้องมีการวางแผนทั้งด้านความสร้างสรรค์ ภาษา ความสวยงาม ความเหมาะสม
และปัจจัยอื่นๆให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่ผู้สอนกำหนด
6. ภาระงานแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัว (sharing
personal experience task)
ภาระงานแบ่งปันประสบการณ์จะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการพูดมากที่สุด
โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นการเล่าเรื่องหรือเหตุการณ์ที่ผู้เรียนพบเจอในชีวิตประจำวัน
การเล่าเรื่องเกี่ยวกับตนเอง
หรือการเล่าเรื่องในหัวข้อที่ผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่แล้ว เช่น
ความทรงจำในวัยเด็ก Your most memorable childhood
experience เป็นต้น โดยผู้สอนอาจมีขั้นตอนการจัดกิจกรรมดังนี้
6.1 กำหนดหัวข้อเรื่องที่จะพูด
(individual thinking/preparation at home)
6.2
ให้เวลาในการเตรียมตัวเล่าเรื่อง (private rehearsal)
6.3
ผู้เรียนเล่าเรื่องกับคู่ของตนเอง (tell story to partner)
6.4
ผู้สอนให้คำแนะนำหลังการเล่าเรื่อง (review of performance)
6.5 เตรียมการเล่าเรื่องอีกครั้ง
(prepare to retell)
6.6
เปลี่ยนคู่และเล่าเรื่องอีกครั้งหนึ่ง (change partners and retell story)
6.7
เขียนสรุปเรื่องราวตามที่เล่าเพื่อแลกกันอ่านในชั้นเรียน (write it up for
the class to read)
4. ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบเน้นภาระงาน
วิลลิซ (Willis. 1996 :
56) กล่าวว่า
ขั้นก่อนการปฏิบัติภาระงานและขั้นปฏิบัติภาระงานจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากการสื่อสารกันในกลุ่มเล็กๆ
ไปสู่การสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างลื่นไหลและเป็นธรรมชาติ
ขั้นตอนการปฏิบัติภาระงานที่สมบูรณ์นั้นมีเป้าหมายเพื่อสร้างปัจจัยสำคัญต่างๆ
ในการเรียนภาษาให้เกิดขึ้นในห้องเรียน มีขั้นตอนดังนี้
1. ขั้นก่อนการปฏิบัติภาระงาน (pre-task)
1.1
ครูผู้สอนแนะนำบทเรียน รูปแบบ จุดประสงค์ของภาระงานต่างๆ
1.2
ผู้สอนกำหนดภาระงานพูดจากเนื้อหา
1.3 ครูผู้สอนเตรียมความพร้อมและความเข้าใจของผู้เรียนในขั้นตอนของการปฏิบัติภาระงาน
2. ขั้นดำเนินงานตามตามวงจรของการปฏิบัติภาระงาน (task
cycle) เป็นขั้นตอนการปฏิบัติภาระงานตามที่ได้รับมอบหมาย
โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติงาน 3 ขั้นตอน ดังนี้
2.1 ภาระงาน (task)
ผู้เรียนมีการอภิปราย
ปฏิบัติภาระงานตามที่ได้รับมอบหมายในรูปแบบของกิจกรรมเดี่ยว จับคู่ และกลุ่ม
2.2 วางแผน (planning)
ผู้เรียนเตรียมตัวนำเสนอภาระงานตามที่ได้รับมอบหมาย
โดยมีการใช้ภาษาด้วยตนเองซึ่งครูผู้สอนจะให้ความช่วยเหลือหากมีความติดขัดทางการใช้ภาษา
2.3 ขั้นรายงาน (report)
ผู้เรียนสรุปผลและรายงานผลจากภาระงานที่ตนปฏิบัติ
ครูผู้สอนจะเป็นผู้ให้คำแนะนำและประเมินผลงานนั้นๆ
3. ขั้นฝึกฝนและตรวจสอบการใช้ภาษา (language
focus) ผู้เรียนจะสามารถประเมินผลการปฏิบัติภาระงานของตนและเปรียบเทียบผลจากการปฏิบัติภาระงานของผู้อื่น
มีขั้นตอนสำคัญ 2 ขั้นตอน
3.1
ขั้นวิเคราะห์ (analysis) ผู้เรียนตรวจสอบการใช้ภาษาในการปฏิบัติภาระงานของตนเอง
และสามารถสร้าง คำ วลี
ขึ้นใหม่เองได้จากการวิเคราะห์คำที่ใช้สื่อสารความหมายจากการปฏิบัติภาระงานที่ผ่านมา
3.2 ขั้นปฏิบัติ (practice) ผู้เรียนฝึกฝนการใช้ภาษาโดยเรียนรู้คำ
วลี และรูปแบบโครงสร้างตามเนื้อหาที่เรียน
วิลลิซ และ วิลลิซ ( Willis and
Willis. 2007 : 76 - 77) ได้ยกตัวอย่างภาระงานการจัดประเภท
โดยมีชื่อภาระงานว่า ‘International words’ ดังนี้
ขั้นภาระงานเป้าหมาย
(target task) คือ
ให้ผู้เรียนจัดประเภทสิ่งที่รับประทานได้ สิ่งที่ดื่มได้ กีฬา การขนส่ง
เครื่องใช้ไฟฟ้า สื่อ คำทักทาย และคำต่างๆ
ที่เกี่ยวกับโรงเรียนลงในช่องว่างที่แบ่งไว้แต่ละประเภท
ขั้นการทำกิจกรรม (during task)
1. ผู้สอนแบ่งช่องเพื่อจัดประเภทบนกระดาน
โดยแต่ละประเภทจะมีตัวอย่างให้ไว้หนึ่งตัวอย่าง
เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติภาระงาน
2. ผู้เรียนพูดคำศัพท์ที่เหมาะสมกับแต่ละประเภท
อย่างเช่น ประเภทกีฬา ผู้เรียนจะพูดคำศัพท์ เทนนิส (tennis) และ
กอล์ฟ (golf) เป็นต้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)